มานุ กับ เยโม
มีตำนานเล่าถึงการกำเนิดของโลกเอาไว้ว่า ก่อนที่โลกจะถือกำเนิดขึ้นมานั้น มีมนุษย์แรกเริ่ม 2 คน คือ มานุ (Manu) ซึ่งหมายถึง “มนุษย์” กับ เยโม (Yemo) ซึ่งแปลว่า “ฝาแฝด” มนุษย์แรกเริ่มทั้งสองนั้นออกเดินทางไปทั่วจักรวาลพร้อมกับวัวตัวแรก (primordial cow) จนกระทั้งทั้งสองคนตกลงใจที่จะสร้างโลกขึ้นมา
แต่ว่าการจะสร้างโลกขึ้นมานั้น จำเป็นที่จะต้องมีการบูชายัญมนุษย์และวัว เพื่อที่จะเอาชิ้นส่วนนั้นออกมาสร้างโลก มานุจึงได้ตัดสินใจสังหารเยโมและวัว เพื่อเอาชิ้นส่วนมาสร้างโลกโดยที่ได้รับความช่วยเหลือจะเทพเจ้าบนท้องฟ้า
เนื้อของเยโม กลายเป็นผืนแผ่นดิน
กระดูกของเยโม กลายเป็นภูเขา
เลือดของเยโม กลายเป็นแม่น้ำและมหาสมุทร
เส้นผมของเยโม กลายเป็นพืชพันธ์ุต่างๆ
และเมื่อโลกถูกสร้างเสร็จแล้ว มานุ ก็ได้ตัดสินใจออกบวชเป็นนักบวชคนแรก มานุทำหน้าที่เผยแผ่ความรู้เกี่ยวกับการทำพิธีกรรมต่างๆ เพื่อที่จะได้รักษากฏระเบียบโลกที่ถูกสร้างขึ้นมา
เมื่อมานุบวชเป็นพระแล้ว พระเจ้าก็ได้สร้างมนุษย์คนที่สามขึ้นมา ชื่อว่า ทรีโต (Trito) และมอบฝูงวัวให้กับเขา
แต่ว่าไม่นานก็มีงูตัวหนึ่ง ชื่อว่านาคี (Ng hi) ได้มาขโมยเอาฝูงวัวไป
ทรีโตจึงได้เดินทางไปพบกับพระเจ้า และพระเจ้าก็ได้ประทานน้ำอมฤทธิ์ให้ เมื่อทรีโตดื่มเข้าไปแล้วเขาก็สามารถที่จะเอาชนะนาคี และช่วยฝูงปศุสัตว์กลับมาได้
ทรีโตได้เอาวัวจำนวนหนึ่งไปถวายให้กับมานุที่เป็นพระ เพื่อที่มานุจะได้เอาวัวไว้สำหรับทำพิธีบูชายัญ
เรื่อง มานุ กับ เยโม นี้ไม่ใช่ตำนานแต่โบราณกาล แต่ว่าเป็นเรื่องที่นักภาษาศาสตร์ ที่ศึกษาภาษาอินโด-ยูโรเปี้ยน (Proto-Indo-European) ได้สร้างขึ้นมาใหม่ โดยการศึกษาตำนานการสร้างโลกของหลายวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน อาทิ
1. คัมภีร์พระเวทของอินเดีย ที่ตัวละครชื่อ มนู (Manu) ซึ่งเป็นมนุษย์ และ ยามะ (Yama) ซึ่งเป็นเทพแห่งความตาย
2. ตำนานนอร์ส (Norse myth) ที่กล่าาวถึงการใช้ร่างกายสร้างโลก
3. ตำนานการสร้างกรุงโรม ที่กล่าวถึง โรมูลัส (Romulus) กับ เรมุส (Remus) ซึ่งเป็นฝาแฝดกันและเรมุสถูกสังหาร
นักวิชาการเชื่อว่าตำนานเหล่านี้มีพื้นฐานมาจากตำนานเรื่องเดียวกันของผู้ใช้ภาษาอินโด-ยูโรเปี้ยน เมื่อแรกเริ่ม