อัลดริช เอเมส (Aldrich Ames)
สายลับ CIA ที่เปลี่ยนไปทำงานให้ KGB
เอเมส เกิดวันที่ 26 มิถุนายน 1941 ในเมืองริเวอร์ฟอลล์ ,วิสคอนซิล (River Falls, Wisconsin) สหรัฐฯ พ่อของเขาชื่อคาร์เลตัน (Carleton Cecil Ames) ชาวอเมริกันเชื้อสายสเปน และแม่ชื่อราเชล (Rachel Aldrich)
คาร์เลตันนั้นทำงานสอนหนังสืออยู่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-ริเวอร์ ฟอลล์ (University of Wisconsin-River Falls) ส่วนราเชลนั้นเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนมัธยม เอเมสนั้นเป็นพี่คนโตในพี่น้องทั้งหมดสามคน อีกสองคนเป็นน้องสาวผู้หญิง
1952 คาร์เลตัน พ่อของเขาได้เริ่มทำงานที่สำนักงานของ CIA ในสำนักงานที่เวอร์จิเนีย ก่อนที่ในปีต่อมาคาร์เลตันถูกส่งมาปฏิบัติงานอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยที่ครอบครัวติดตามไปด้วย แต่ว่าผลงานในการเป็นสายลับของเขาได้รับการประเมินที่ไม่ดี เพราะนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนติดเหล้าหนัก ทำให้งานส่วนใหญ่ของคาร์เลตันในเวลาที่เหลือเป็นงานเอกสารในสำนักงานใหญ่ของ CIA
1956 เข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายแม็คลีน (McLean High School) ซึ่งช่วงนี้เขาได้เริ่มทำงานให้กับ CIA โดยเป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่าง ทำงานเกี่ยวกับเอกสาร
1959 เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยชิคาโก้ (University of Chicago) โดยเลือกเรียนทางด้านวัฒนธรรมต่างประเทศและประวัติศาสตร์ แต่ว่าเขาเรียนไม่จบปี 2 เพราะว่าโดยส่วนตัวเขาสนใจด้านการละครมากกว่า
1960 เอเมส ทำงานเป็นช่างทาสีอยู่ที่ CIA
1962 ย้ายเขามาทำงานกับ CIA ในแถบวอชิงตัน โดยงานของเขาที่เปิดเผยนั้นยังเป็นงานเสมียรเป็นหลัก
จบปริญญาตรีทางด้านประวัติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน (George Washington University)
1969 แต่งงานกับ แนนซี่ (Nancy Segebarth) ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในสำนักงานของ CIA แต่ว่าต่อมาเมื่อเอเมสถูกส่งตัวไปปฏิบัติการณ์ในแอนการ่า (Ankara) ตุรกี แนนซี่ก็ลาออกจาก CIA เพราะเป็นการผิดกฏระเบียบของ CIA ที่ห้ามไม่ให้คู่สมรสทำงานด้วยกัน
งานของเอเมสในตุรกี คือการพยายามเจาะเข้าไปในเครือข่ายสายลับของสหภาพโซเวียตในตุรกี โดยเขาประสบความสำเร็จในการแฝงตัวเข้าไปในกลุ่ม DEV-GENC (Revolutionary Youth Federation of Turkey) ซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษาที่นิยมลัทธิมาร์กซ-เลนิน แต่ว่าอยู่ในตุรกีกว่าสามปีก็ไม่มีผลงานที่ถูกมองว่าประสบความสำเร็จที่สำคัญ
1972 เขากลับมายังสหรัฐฯ และทำงานอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของ CIA ในแผนกสหภาพโซเวียตและยุโรปตะวันอก
1981 ไปปฏิบัติงานอยู่ในเม็กซิโกซิตี้ (Mexico City) และระหว่างนี้ได้มีสัมพันธ์ชู้สาวกับมาเรีย (Maria del Roasrio Casas Dupuy) ชาวโคลัมเบีย มาเรียในขณะนั้นทำงานเป็นผู้ช่วยทูตด้านวัฒนธรรมของสถานฑูตโคลัมเบีย
1983 ถูกย้ายมาอยู่ในวอชิงตัน และเข้าทำงานกับแผนกปฏิบัติการณ์ (Department of Operations) ของ CIA ซึ่งรับผิดชอบงานด้านการต่อต้านการจารกรรมของสหภาพโซเวียตโดยเฉพาะ ทำให้เอเมสสามารถเข้าถึงข้อมูลที่อ่อนไหวและแผนการณ์ของ CIA ได้
ในช่วงเวลานี้เอเมสได้ตกลงหย่ากับแนนซี่ โดยที่เขายอมจ่ายค่าชดเชยให้เธอเป็นเงินประมาณ 46,000 เหรียญ ซึ่งภายหลังเขาอ้างว่าเป็นเหตุผลทางการเงินที่ทำให้เขาต้องยอมทำงานให้กับสหภาพโซเวียต
1985 แต่งงานกับมาเรีย และต่อมาได้มีลูกชายด้วยกับชื่อว่า พอล (Paul Ames) แต่ว่าเอเมสไม่ได้รายงานเรื่องที่เขาแต่งงานกับมาเรียซึ่งเป็นชาวต่างชาติให้กับ CIA ต้นสังกัดของเขารับทราบ
มาเรียนั้นเป็นคนที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและชอบความหรูหรา เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เอเมสยอมทำงานให้กับสหภาพโซเวียต ในเดือนเมษายน เอเมสเดินเข้าไปในสถานฑูตสหภาพโซเวียต และได้ทิ้งข้อมูลการติดต่อกับเขาไว้ที่สถานฑูต พร้อมกับตัวอย่างเอกสารลับบางส่วน โดยเสนอขขอเงิน 50,000 เหรียญ หากว่าต้องการให้เขาทำงานด้วยในภายภาคหน้า
ไม่นานหลังจากเอเมสติดต่อกับสหภาพโซเวียต ข้อมูลที่เขาให้กับโซเวียตนั้นทำให้มีการกวาดล้างสายลับโซเวียตหลายสิบคน ที่ทรยศ อาทิ
- เซอร์เกย์ โมโตริน (Sergei Motorinn) ถูกศาลโซเวียตสั่งประหารด้วยการยิงเป้า
- อดอล์ฟ โตลกาเชฟ (Adolf Tolkachev) ถูกประหารด้วยการยิงเป้า วันที่ 24 กันยายน 1896, เพราะเขาขายข้อมูลการออกแบบจรวดมิสไซด์หลายชนิด อาทิ R-23, R-33 และเครื่องบิน MiG-29, MiG-31 ให้กับ CIA
- วาเลรี่ มาร์ตูนอฟ (Valeri Martynov) เจ้าหน้าที่ KGB ยศพันโท ถูกประหารวันที่ 28 พฤษภาคม 1987
- วลาดิมีร์ โปตาชอฟ (Vladimir Potashov) ถูกโทษจำคุก 13 ปีและถูกส่งไปขังในเรือนจำ เปิร์ม-35 (Perm-35 prison) ในแถบยูราล (Ural) เพื่อใช้แรงงาน
- บอริส ยุซิน (Boris Yuzhin) สายลับ KGB ที่ทำงานบังหน้าเป็นนักข่าวให้กับสำนักข่าว Itar-Tass ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเครื่อข่ายสายลับของโซเวียในอเมริกาเหนือให้กับ CIA เขาถูกตัดสินจำคุก 15 ปีและถูกบังคับใช้แรงงงาน
- วิตาลี ยูร์เชนโก้ (Vitaly Yurchenka) เป็นเจ้าหน้าที่ KGB ระดับสูงสุดที่ถูกจับได้ว่าทำงานให้กับสหรัฐฯ เขาหนีไปยังสหรัฐฯ ผ่านทางกรุงโรม ในปี 1985 แต่ว่าไม่กี่เดือนต่อมาเขาเดินทางกลับสหภาพโซเวียต
1986 เอเมสถูกส่งไปยังโรม ในขณะที่ CIA เริ่มรู้ตัวว่ามีการรั่วไหลของข้อมูลภายใน จึงได้เริ่มทำการสอบสวนภายในองค์กร
ในขณะที่เอเมสซึ่งได้ทรัพย์สินกว่า 4.6 ล้านเหรียญจากการขายข้อมูลให้สหภาพโซเวียต เกิดความเครียดจากการสอบสวนภายใน เขารู้ว่าความร่ำรวยของเขานั้นผิดปกติ ทั้งบ้านมูลค่ากว่าครึ่งล้านเหรียญ และรถยนต์จากัวร์หลายคัน รวมทั้งการใช้จ่ายที่มากกว่าเงินเดือนที่เขาได้รับ โดยในตอนแรกเอเมสพยายามอธิบายทรัพย์สินเหล่านั้นเป็นของฝ่ายภรรยาชาวโคลัมเบียที่ได้มรดก
เอเมสนั้นสามารถผ่านการทดสอบด้วยเครื่องจับเท็จ (polygraph) ของ CIA ในการถูกสอบสวนได้ถึงสองครั้งในปี 1986, 1991
1994 กุมภาพันธ์, เอเมสและภรรยาถูกจับอย่างเป็นทางการ และเดือนต่อมาเขาก็ถูกัดสินจำคุกตลอดชีวิต ในขณะที่ภรรยาของเขาถูกตัดสินจำคุกห้าปี ในข้อหาหลีกเลี่ยงภาษีและสมรู้ร่วมคิด