มณีเมขลา (ทมิฬ : மணிமேகலை)
มณีเมขลา เป็น 1 ใน 5 วรรณกรรมคลาสสิคของทมิฬ รัฐทางใต้ของอินเดียในปัจจุบัน โดยถูกแต่งขึ้นมา ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 2-6 โดยผู้แต่งคือ จิทาลัย จาทนา (Chithalai Chathanar) หรืออีกชื่อหนึ่งว่า สัทธานาร์ (Satthanar)
เนื้อเรื่อง
มณีเมขลา นั้นเป็นลูกสาวของ โควาลาน (Kovalan) กับนาง มาทวี (Madhavi) ซึ่งมณีเมขลานั้นเป็นผู้หญิงที่สระสวยและมีรูปร่างดี แต่เมื่อนางเติบโตขึ้นมา นางเลือกที่จะเป้นนักเต้นระบำและออกบวชตามอย่างมารดา โดยมณีเมขลาและสุธามาธี (Sudhamathi) เพื่อนสนิทได้ออกบวชด้วยกัน
จนเมื่อเจ้าชายอุดายกุมาร (Udayakumara) แห่งอาณาจักรโจละ (Chola) ได้บังเอิญมาเจอกับมณีเมขลา เจ้าชายก็หลงไหลนางในทันที แต่ว่าในเวลานั้นมณีเมขลาได้ออกบวชเป็นชีอยู่ในวัดนิกายมหายาน นางจึงปฏิเสธความรักของเจ้าชาย และเลือกที่จะปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระอาจารย์ อะราวานะ อดิกาล (Aravana Adikal) กับเหล่าเทวดา ที่มาเป็นอาจารย์สอนเธอ ให้หลุดพ้นจากความกลัว
มณีเมขลาพยายามที่จะหนีเจ้าชายที่ติดตามเธอมา เทวดาองค์หนึ่งจึงได้ช่วยให้มณีเมขลาหายตัวไปยังเกาะไกลโพ้นแห่งหนึ่ง แต่ว่าเจ้าชายก็ยังไม่หยุดที่จะติดตามนางไป
เทวดาจึงประทานอิทธิวิเศษให้กับมณีเมขลาในการแปลงร่างให้กลายเป็นผู้อื่นได้ และมอบชามวิเศษให้กับมณีเมขลาเอาไว้ จึงชามใบนี้จะได้รับการเติมน้ำจาก เทพมณีเมขลา (Mani Mekalai Theivam) เทพีแห่งท้องทะเล อยู่ตลอด
ในตอนสุดท้ายมณีเมขลาแปลงร่างของเธอให้เหมือนกับผู้หญิงคนหนึ่งบนเกาะ ซึ่งเป็นผู้หญิงที่มีสามีอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อเจ้าชายอุตายกุมารได้ตามมาเจอ พระองค์รู้ว่าตัวจริงของผู้หญิงคนนั้นคือมณีเมขลาก็เข้าไปเกี้ยวพาราสี แต่ว่าสามีของผู้หญิงคนนั้นซึ่งไม่รู้ความจริง ได้กลับมาเห็นว่าภรรยากำลังถูกลวนลาม จึงได้เข้าไปสังหารเจ้าชายอุตายกุมารจนสิ้นพระชนม์
เมื่อกษัตริย์และราชินีแห่งโจละทราบว่าเจ้าชายอุตายะกุมารสิ้นพระชนม์ ก็ทรงกริ้ว จึงได้สั่งให้ทหารไปจับนางมณีเมขลามา และสั่งลงโทษประหารชีวิต
แต่ว่าเทวดาได้ปรากฏกายขึ้นมาช่วยชีวิตนางมณีเมขลาเอาไว้ก่อนที่จะถูกประหาร โดยแสดงการล่องหนให้เห็น กษัตริย์และพระราชินีเมื่อเห็นดังนั้นก็รู้สึกสำนึกถึงความผิดผลาด ทรงอภัยโทษให้มณีเมขลา และขอให้นางด้วยสอนธรรมะให้กับพระองค์แทน
ในตอนสุดท้าย หลังมณีเมขลาได้รับฟังธรรมเรื่องอริยสัจสี่ และปฏิจจสมุปบาท (Pratītyasamutpāda) จากอาจารย์ของนาง แล้วมณีเมขลาจึงได้ออกเดินทางไปยังวัดกันนาคี (Kannaki temple) ในอาณาจักรเชระ (Chera Kingdom) เพื่อสดับรับฟังคำสอนจากศาสนาอื่นๆ และบำเพ็ญทุกข์กิริยาอย่างหนักเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายคือการนิพพาน