Kasper Hauser by Johann Friedrich Carl Kreul,1830
คาสเปอร์ เฮาเซอร์
เด็กหนุ่มปริศนาแห่งนูเรมเบิร์ก ชายผู้อ้างว่าเติบโตมาในห้องมืดถึง 16 ปี กับปริศนารัชทายาทแห่งบาเดน
เขาปรากฏตัวขึ้น ในวันที่ 26 พฤษภาคม 1828 เวลาประมาณ 4-5 โมงในตอนบ่าย บนถนนเมืองนูเรมเบิร์ก (Nuremberg) เยอรมัน ในวันนั้นช่างทำรองเท้า ชื่อ จอร์จ วิคแมน (George Weickmann) เป็นคนสังเกตุเห็นคาสเปอร์เป็นคนแรก เขาคาดว่าหนุ่มแปลกหน้าคนนี้น่าจะมีอายุราว 16 ปี เขาแต่งกายด้วยผ้าเนื้อหยาบ และมีลักษณะการเดินที่เหมือนคนเมา
วิคแมน เดินเข้าไปที่หนุ่มน้อยแปลกหน้า และก็เห็นว่าในมือของคาสเปอร์ถือจดหมายอยู่ฉบับหนึ่ง มันจ่าหน้าซองเอาไว้ว่า “ถึง กัปตันแห่งกองทหารม้า ที่ 4 แห่งกองทหารราบที่ 6 , กัปตัน เวสเซนิก (Captain von Wessenig) จาก พรหมแดนบาวาเรีย/ สถานที่ไม่เปิดเผย"
เมื่อเห็นดังนั้นวิคแมน ก็ได้ช่วยพาตัวคาสเปอร์ ไปยังค่ายทหาร ซึ่งทั้งคู่ได้พบกับทหารยามที่แจ้งว่ากัปตันเวสเซนิกไม่อยู่ในบ้านพัก พวกเขาจึงได้นั่งรอกันอยู่ในสวน ระหว่างนั้นพลทหารได้นำเอาน้ำและอาหารมาให้แก่ฮาร์เปอร์ แต่ปรากฏว่าฮาร์เปอร์สะบัดทั้งเบียร์และไส้กรอกทิ้งไป แต่ว่ายอมกินแต่น้ำเปล่าและขนมปังแบบดำ
ภายในจดหมายซึ่งคนเขียนที่ไม่เปิดเผยชื่อ ได้กล่าวต่อไปอีกว่า เขารับเอาคาสเปอร์ มาเลี้ยงไว้ตั้งแต่ยังเป็นทารก เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1812 ซึ่งเขาเป็นคนสอนให้เขียน อ่าน และสอนเกี่ยวกับศาสนา แต่ว่าคาสเปอร์ไม่เคยได้รับอนุญาตให้ออกไปนอกบ้าน , ผู้เขียนจดหมายอ้างว่าพ่อของเด็กเป็นทหารม้า ซึ่งอาจจะหมายถึงกัปตัเวสเซนิกเป็นพ่อ และเขาเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่คาสเปอร์จะต้องได้รับการฝึกเป็นทหารเช่นเดียวกับบิดา
หลังจากทานอาหารเสร็จ ทหารและช่างรองเท้าพยายามถามข้อมูลเกี่ยวกับตัวคาสเปอร์ แต่ว่าเขามักจะตอบว่า "ผมไม่รู้” กับ “ผมต้องการเป็นคนขึ่ม้า เหมือนพ่อ"
เมื่อกัปตันเวสเซนิก กลับมาถึงบ้าน คาส์เปอร์ได้แต่มองดูชุดที่เขาสวมใส่ ส่วนกัปตันเองก็ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นใคร สุดท้ายแล้วเขาจึงสั่งให้พาคาส์เปอร์ไปยังสถานีตำรวจ
ที่่สถานีตำรวจ คาส์เปอร์ ยังเอาแต่ตอบว่า "ผมไม่รู้” กับ “พาผมกลับบ้าน” และมักจะไม่ตอบสนองต่อการทดสอบอะไรเลย แต่เมื่อตำรวจมอบเหรียญให้เขาอันหนึ่งไปเล่น เขาก็ถือมันแล้วแล้วก็พรึมพรำว่า “ม้า, ม้า” จนตำรวจได้ความคิดว่าควรจะให้กระดาษกับปากกาเขา เพื่อเขียนอะไรบางอย่าง , ซึ่งคาสเปอร์รับปากกาไปแล้วเขียนชื่อ Kasper Hauser
คาสเปอร์ ถูกนำตัวไปไว้ที่ Vestner Gate Tower เพื่อดูแลเป็นเวลานานกว่า 2 เดือน โดยมีนายแอนเดรียส ฮิลเทล (Andreas Hiltel) เป็นผู้ดูแลหอคอยดังกล่าว ซึ่งระหว่างอยู่ที่นี่คาสเปอร์มีสุขภาพแข็งแรงดี สามารถเดินได้ดี และก้าวขึ้นบันไดเองกว่า 90 ขั้นไปยังห้องนอน แต่ว่ามีปัญหาในเรื่องการพูดที่พูดน้อยและกล่าวเพียงไม่กีประโยค และยอมกินแต่ขนมปังกับน้ำเท่านั้น
ในขณะนะที่ผู้ว่าการเมือง ชื่อบินเดอร์ (Mayor Binder) ก็บอกว่าคาสเปอร์มีความจำดีเลิศ เรียนรู้เร็ว , ในตอนแรกสันนิษฐานกับว่าเขาน่าจะเติบโตมาในป่า แต่ว่าเมื่อมีการสนทนากับผู้ว่าบินเดอร์แล้ว คาสเปอร์กับเล่าประวัติของตัวเองในหลายหลายเวอร์ชั่น เรื่องหนึ่งบอกว่าเขาเติบโตมาภายในห้องมืดๆ มีขนาดความยาวไม่เกินสองเมตรคูณหนึ่งเมตร พร้อมด้วยเตียงเก่าๆ หลังหนึ่งและตุ๊กตาไม้ที่แกะเป็นรูปม้าสำหรับเล่น
คาสเปอร์บอกว่าในทุกเช้า เขาจะพบขนมปังและน้ำอย่บนที่นอน น้ำมีรสขมนิดหน่อยแต่เมื่อดื่มเข้าไปแล้ว เขาว่ามันช่วยให้หลับสบายขึ้น , บางครั้งตื่นมาเขาก็จะพบว่าผมและเล็บของเขาถูกตัดเรียบร้อย และคาสเปอร์ยังบอกว่ามนุษย์คนแรกที่เขามีโอกาสได้พบ เป็นชายปริศนาที่เขาไม่เห็นหน้า ที่ได้พบก่อนที่จะถูกปล่อยตัวออกมาไม่นาน ชายคนดังกล่าวสอนให้เขาเขียนชื่อ และยังเป็นคนสอนให้พูดประโยคว่า “ผมอยากเป็นคนขี่ม้า เหมือนอย่างพ่อผม” ด้วยสำเนียงแบบบาวาเรีย แต่ว่าคาสเปอร์อ้างว่าไม่เข้าใจความหมายของประโยคที่เขาพูด ต่อมาเขาก็ถูกสอนให้ยืนและเดิน จากนั้นก็ถูกพาตัวมายังเมืองนูเร็มเบิร์กนี้
คาสเปอร์มีความสูงประมาณ 4 ฟุต 9 นิ้ว ผมสีน้ำตาลอ่อน หยักโศก ผิวขาว ฝ่ามือเล็กและนุ่ม , เท้าหยาบเหมือนกับว่าไม่เคยจะใส่รองเท้า , ที่แขนขวามีร่องลอยของบาดแผล ซึ่งบางคนบอกว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของการถูกฉีดวัคซีน ซึ่งใช้ในหมู่คนชั้นสูงเวลานั้น
คาสเปอร์มีหมวกทรงกลมใบหนึ่งที่ทำจากผ้าไหม่ และรองเท้าบูทที่สูงครึ่งหนึ่งของหน้าแข้ง ซึ่งมีขนาดไม่พอดี , ผ้าฟันคอสีไหมสีดำ, เสื้อแจ็คเก็ตสีเทา, เสื้อกั๊กทำจากผ้าฝ้าย กางเกงสีเทา และยังมีผ้าเช็ดหน้าที่ถูกปักตัวอักษร K.H. ด้วยไหมสีแดง และยังมีผ้าเช็ดหน้าพื้นอื่นอีก ที่มีรูปดอกไม้สีขาวและฟ้าเป็นลวดลาย จดหมายที่เขาถือมาเปื้อนด้วยผงทองและเศษขนมปังที่ใช้ในพิธีการโบสถ์
ต่อมา พอล โจฮานน์ (Paul Johann Anselm Ritter von Feuerbach) ประธานศาลอุทรณ์ของแคว้นบาวาเรีย ได้เขามาสืบสวนคดีดังกล่าว และส่งตัวคาสเปอร์ให้ไปอยู่ในการดูแลของโรงเรียนซึ่งมีนายเฟรดริช ดัวเมอร์ (Friedrich Daumer) เป็นคุณครูใหญ่ทั้งยังเป็นนักจิตเวช ซึ่งเขาช่วยสอนคาสเปอร์ในหลายเรื่องและค้นพบว่าคาสเปอร์มีความสามารถในการวาดรูป, ดัวเมอร์ ได้ทดลองทดสอบคาสเปอร์ด้วยวิธีโอมีโอพาธี (Homeopathy, การใช้สมุนไพร่ที่ออกฤทธิ์เหมือนกับโรคที่เป็นในการรักษา ตามแนวคิดว่าใช้สิ่งที่คล้ายกันรัักษาตัวเอง (let like be cured by like)) นอกจากนั้นยังทดสอบรักษาด้วยวิธี Magnetism (ในสมัยนั้นเป็นที่นิยมเพราะเชื่อว่ามีสนามพลังไหลเวียนอยู่ในร่างกาย เมื่อปรับให้ถูกต้องก็ใช้รักษาโรคได้)
17 ตุลาคม 1829 คาสเปอร์ไม่ได้ลงมาทานอาหารกลางวัน เมื่อคนที่เหลือช่วยกันออกตามหา ก็พบว่าเขานอนอยู่ที่ห้องใต้ดิน โดยได้รับบาดเจ็บเหมือนรอยบาดที่หน้าผาก โดยคาสเปอร์บอกว่ามีชายที่สวมเสื้อแบบมีฮูดปิดใบหน้า เข้ามาทำร้ายเขา โดยพูดว่า “เจ้าต้องตายถ้าไม่ยอมออกไปจากนูเร็มเบิร์ก” คาสเปอร์บอกว่าเสียงนั้นคล้ายกับเสียงของคนที่ช่วยพาเขามายังเมืองนี้ด้วย และจากร่องรอยเลือดของเขาที่หยดลงบนพื้นพบว่าเขาวิ่งหนึขึ้นไปชั้นบนที่ห้องนอนของเขาก่อนที่จะหนีกลับลงมาในห้องใต้ดิน แทนที่จะวิ่งไปหาคนที่คอยดูแลเขาอยู่ นั้นทำให้เจ้าหน้าที่ย้ายคาสเปอร์ไปให้ โจฮานน์ ไปเดอร์บาช (Johann Biberbach) เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของเมืองเป็นผู้ดูแลแทน ในขณะเดียวกันข่าวลือกว่าคาสเปอร์เป็นหนึ่งในเชื้อสายของตระกูลบาเดน (House of Baden) ก็ลือสะพัด แต่ก็มีคนสงสัยว่าคาสเปอร์อาจจะตั้งใจทำร้ายตัวเองด้วยใบมีดโกน เพื่อเป็นข้ออ้างในการไปจากการดูแลของดัวเมอร์ เพราะเขาเร่ิมสงสัยว่าคาสเปอร์เป็นจอมโกหก
3 เมษายน 1830 ที่บ้านของไบเดอร์บาช เกิดเสียงปืนขึ้นในห้องนอนของคาสเปอร์ เมื่อคนรับใช้ของไบเดอร์บาช วิ่งไปดูก็พบว่าคาสเปอร์ได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะด้านขวา คาสเปอร์บอกว่าเขาขึ้นไปบนเก้าอี้เพื่อหยิบหนังสือแต่ว่าพลาดล้มลงมา ในขณะที่มือเขาพยายามคว้าหาที่ยึดทำให้ไปจับเอาปืนที่แขวนไว้ที่ผนังแล้วมันก็ลั่นใส่เขา , นั้นกลายเป็นว่าคาสเบอร์ ถูกย้ายไปยังผู้ดูแลคนใหม่อีก
พฤษภาคม 1830 เขาย้ายมาอยู่ที่บ้านของบารอน ตุเชอร์ (Baron von Tucher) ซึ่งบารอนตุเซอร์ บ่นว่าคาสเปอร์เป็นคนขี้โกหก และเฟ้อเจ้อ ซึ่งภรรยาของไบเดอร์บาช ก็กล่าวในทำนองเดียวกัน
1831 ปลายปี 1831 นี้ ลอร์ด สแตนโฮป (Lord Stanhope) สนใจในเรื่องราวของคาสเปอร์และได้รับตัวเขาไปดูแล โดยที่พยายามเซาะหาชาติกำเนิดที่แท้จริงของคาสเปอร์ ทั้งพยายามพาเขาไปฮังการี เมื่อพบว่าคาสเปอร์รู้คำบางคำในภาษาประเทศนี้ได้ถึงสองครั้ง แต่ก็ไม่พบหลักฐานอะไร จนเขาหมดความพยายาม และส่งตัวคาสเปอร์ให้ไปที่เมืองอันสแบช (Ansbach) เพื่อให้ครูใหญ่ชื่อโจฮานน์ เมเยอร์ (Johann Georg Meyer) ดูแลเขาแทน โดยที่สแตนโฮป ยังคงออกค่าใช้จ่ายและดูแลเขาเป็นอย่างดี ยกเว้นไม่รักษาคำสัตย์ที่ว่าจะพาคาสเปอร์ไปอยู่อังกฤษด้วยกัน
1832 ความสัมพันธ์ของคาสเปอร์กับโจฮานน์ เมเยอร์ ไม่ค่อยราบรื่น เมเยอร์เห็นว่าเขาเป็นคนขึ้โกหกด้วยเช่นกัน , ในปีนี้คาสเปอร์ ได้รับการว่าจ้างในทำงานเป็นเจ้าหน้าที่คัดลอกเอกสารของสำนักกฏหมายในเมือง แต่ว่าชีวิตก็ไม่มีความสุขนัก ยิ่งเมื่อทราบข่าวการเสียชีวิตของผู้พิพากษาพอล โจฮานน์ ในเดือนพฤษภาคม 1833 ทำให้คาสเปอร์รู้สึกเหมือนว่าสูญเสียคนสำคัยของเขาไป
1833,14 ธันวาคม คาสเปอร์กลับมาที่บ้านโดยที่มีแผลฉกรรณบริเวณหน้าอก เขาบอกว่าเขากำลังนั่งอยู่ในสวนบริเวณศาลของเมืองอันสแบช แต่ว่าก็มีชายลึกลับเข้ามาทำลายเขา ในขณะเดียวกับก็ส่งถูกใบหนึ่งมาให้เขา ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่สำรวจเฮร์รเลียน (Herrlein) หาหลักฐานในที่เกิดเหตุ ตำรวจพบกระเป๋าสีม่วงใบเล็กที่บรรจุกระดาษเขียนด้วยดินสอแบบกลับด้าน เหมือนภาพสะท้อนในกระจก เขียนเอาไว้าว่า “คาสเปอร์รู้ว่าฉันหน้าตาเป็นอย่างไรและมาจากที่ไหน ดูแลคาสเปอร์, แล้วฉันจะบอกว่าฉันมาจากไหน ฉันมาจาก….พรหมแดนบาวาเรีย…ริมแม่น้ำ…ชื่อฉันคือ M.L.O.”
แต่ว่าจดหมายนี้ก็ชวนสงสัยอีกว่าเขาเขียนมันด้วยตัวเอง เมื่อมีการพบว่ามีคำสะกดผิด ไวยกรณ์ไม่๔ูกต้อง และกระดาษยังถูกพับในลักษณ์ที่คล้ายกับที่คาสเปอร์ชอบทำด้วย เจ้าหน้าที่ชันสูตรยังเห็น่ว่าบาดแผลที่ตัวเขานั้นอาจจะเกิดจากการทำร้ายตัวเอง
1833,17 ธันวาคม คาสเปอร์ เสียชีวิต , ถูกฝั่งที่สวนแห่งหนึ่งของเมือง โดยที่หินบนหลุมฝังร่างของเขาเขียนเป็นภาษาลาตินเอาไว้ว่า ที่นอนอยู่นี้คือ,คาสเปอร์ เฮาเซอร์, ไม่ทราบวันเกิด/อายุไม่ทราบ,ตายอย่างปริศนา, 1833 (Hic jacet / Casparus Hauser / Aenigma / sui temporis / ignota nativitas / occulta mors / MDCCCXXXIII.)
เรื่องเล่่าของคาสเปอร์ ที่เกี่ยวกับตระกูล บาเดน (House of Baden) บอกว่าเจ้าชายแห่งบาเดน เกิดเมื่อวันที่ 29 กันยายน 1812 ซึ่งประวัติศาสตร์บันทึกเอาไว้ว่าพระองค์เสียชีวิตในวันที่ 16 ตุลาคม 1812 หลังเกิดไม่กี่สัปดาห์ แต่ข่าวลือบอกกันว่าบิดาของเจ้าชายนำเอาร่างของทารกคนอื่นที่เสียชีวิตมาสับเปลี่ยน ซึ่งทำให้คาสเปอร์ วัย 16 ปี ยังมีชีวิตอยู่จนมาปรากฏตัวที่นูเรมเบิร์ก ถ้าข้อมูลนี้เป็นจริง บิดาของคาสเปอร์ คือ แกรนดุกแห่งบาเดน ชาร์ล (Chales, Grand Duke of Baden) และมารดาคือ สเตฟานี แห่งบัวฮาร์เนียส (Stephanie de Beauharnais) เธอเป็นลูกสาวบุญธรรมของจักรพรรดินโปเลียน
เพราะว่า ชาร์ล แห่งบาเดน เสียชีวิตโดยไม่มีทายาทชายที่มีชีวิต ทำให้สมบัติและตำแหน่งตกไปอยู่กับ หลุย์ ที่ 1 แห่งบาเดน (Louis I, Grand Duke of Baden) ลุงของชาร์ล , ต่อมาลูกพี่ลูกน้องของหลุย์ ที่ 1 คือ เลฟโปล์ด (Leopold I of Baden) ก็สืบทอดตำแหน่งจากหลุย์ ที่ 1 อีกที่หนึ่ง
โดยที่มารดาของ เลฟโปล์ด ที่ 1 , หลุยส์ แคโรไล เคาน์เตส์ส แห่ง ฮอสเบิร์ก (Louise Caroline of Hochberg) ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ที่วางแผนในการลักพาตัวทารกรัชทายาทของชาร์ล เพื่อให้ลูกชายของตัวเองได้มีโอกาสสืบบัลลังค์บาเดน
ในปี 1996 นิตยสาร Der Spiegel ของเยอรมัน ได้มีการพิมพ์ผลการตรวจดีเอ็นเอ จากเลือกในกางเกงชั้นในที่คาดว่าเป็นของคาสเปอร์ โดยฝ่ายนิตเวชและมหาวิทยาลัยมิวนิค ผลปรากฏว่าไม่มีความเกี่ยวพันธ์กันระหว่างคาสเปอร์และตระกูลบาเดน
ปี 2002 มหาวิทยาลัยมันเตอร์ (University of Munster) ได้นำตัวอย่างเส้นผมจากเสื้อผ้าของคาสเปอร์ ไปทดสอบ ซึ่งพบว่ามีดีเอ็นเอจาก 6 คนที่แตกต่างกันอยู่บนนั้น ซึ่งหนึ่งในดีเอ็นเอนั้นเข้าได้กับดีเอ็นเอของแอนตริส เมดินเจอร์ (Astrid von Medinger) ซึ่งเธอสืบเชื้อสายมาจากสเตฟานี แห่งบัวฮาร์เนียส แต่ว่าเนื่องจากแอนตริสเป็นลำดับที่ห่างจากสเตฟานีมาก จึงไม่อาจจะระบุชัดได้ว่าผลการทดสอบแม่นยำ
ในขณะที่ตระกูลบาเดน ไม่ยินยอมให้มีการใช้ชิ้นส่วนที่เหลืออยู่ของสเตฟานี ในการทดสอบ