Numquam prohibere somniantes
Anastas Mikoyan
Anastas Mikoyan

Anastas Mikoyan

อนาสตาส อิวาโนวิช มิโกยาน (Анастас Иванович Микаян)

รัฐบุรุษแห่งโซเวียต เขาอยู่ในตำแหน่งระดับสูงในรัฐบาลยาวนานถึง 40 ปี จากยุคของเลนิน จนถึงสมัยเบรสเนฟ

เขาเกิดในหมู่บ้านซานาชอิน (Sanahin) ในอาร์เมเนีย ซึ่งในเวลานั้นเป็นเมืองท่าทางตอนใต้ของจักรวรรดิรัสเซีย เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 1895  พ่อของเขาชื่อ โฮฟฮานเนส (Hovhannes) เป็นช่างไม้ด้วยเป็นครอบครัวที่เคร่งขัดในศาสนา อนาตาส ถูกส่งเรียนหนังสือที่ (Nersisyan Thelogical seminary) ในกรุงทิฟริส (ทบิลิซี จอร์เจีย) เป็นโรงเรียนศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จากนั้นก็ย้ายไปเรียนต่อที่ Gevorkian Theological Seminary ที่เอชเมียซิน (Echmiazin) ในอาร์เมเนีย ซึ่งเป็นโรงเรียนคริสต์เช่นกัน แต่ตัวเขาเองบอกต่อมาในภายหลังว่าไม่มีความเชื่อในเรื่องพระเจ้า

1915 ตอนอายุได้ 20 ปี ก็เข้าร่วมกับพรรค RSDLP และได้กลายมาเป็นผู้นำของพรรคในการเคลื่อนไหวบริเวณคอเคซัส เขาก่อตั้งสภาแรงงาน (Workers council) ขึ้นในเอชเมียซิน เพื่อสอนแรงงานในอาร์เมเรียเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว และเป้าหมายของพรรค 

1917 ภายหลังจากการปฏิวัติเขากลายเป็นหนี่งในผู้มีอำนาจสูงสุดภายในพรรคในคอเคซัส เข้าย้ายไปอาศัยที่เมืองบากู (Baku) ในอาร์เซอไบจาน เขาทำงานเป็นบรรณาธิการให้กับหนังสือพิมพ์ภาษาอาร์เมเนีย ที่เขาต้งขึ้นชื่อว่า Social-Democrat newspaper และต่อมาได้ทำหนังสือพิมพ์ภาษารัสเซียอีกฉบับ ชื่อ News of the Baku Soviet of the People’s Deputies 

1918 อนาซาส กลายเป็นหนึ่งในคณะกรรมการของกองทัพแดง ซึ่งเพิ่งมีการก่อตั้งขึ้น เขารับหน้าที่ในการดูแลและปราบปราบผู้สนับสนุนพระเจ้าซาร์ และกลุ่มผู้ต้องการแยกตัวเป็นเอกราช อย่างพวกมุซาวาติส ( Musavatist) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ต้องการประกาศเอกราชแก่อาร์เซอร์ไบจาน ภายใต้คำขวัญ “บากู โซเวียต” ที่นี่เป็นศูนย์กลางของบอลเชวิคในคอเคซัสตอนเหนือ ซึ่งนอกจากจะต่อสุ้กันเองแล้ว ยังมีอังกฤษและออตโตมานที่พยายามจะขยายอิทธิพลมาในพื้นที่บริเวณนี้เนื่องจากเป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ โดยอังกฤษให้การช่วยเหลือเมนเชวิค และออตโตมานให้การสนับสนุนบอลเชวิค ซึ่งผลของสงครามฝ่ายของเมนเชวิคและอังกฤษเป็นผู้ชนะ  

อนาสตาส และบอร์ดของกองทัพแดงทั้ง 26 คน ต้องลงเรือหนีไปยังแอชตาคาน (Astrakhan) เมืองท่าในทะเลดำ แต่ว่าระหว่างทางนั้นพวกเขาถูกรัฐบาลของทรานแคสเปี้ยน ซึ่งอยู่ฝ่ายเมนเชวิค จับตัวเอาไว้ได้ และถูกตัดสินประหารชีวิต  

อนาสซานเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถหลบหนีออกมาได้

1919 กุมภาพันธ์ เขากลับไปยังบากูอีกครั้งหนึ่ง และพยายามต่อสู้อีกครั้งจนปี 1921 บอลเชวิค ก็ได้กลับมามีอำนาจในเมองนี้อีกครั้ง  ไม่นานหลังจากนี้ ได้ถูกส่งตัวไปยังเขตนิชนี นอฟโกรอส (Nizhny Novgorod region) ริมฝั่งโวลก้า ซึ่งเขามีผลงานสำคัญในการรต่อสู้กับสภาวะอากาศเลวร้ายในช่วงนั้น ซึ่งทำให้หลายพื้นที่ประสบปัญหาขาดแคลอาหาร จากภัยหนาว ทำให้ผลผลิตลดลง ผู้คนเริ่มก่อการจราจล อนาสซาสพยายามรับมือปัญหาโดยการจ้างแรงงานที่มีฝีมือเข้ามา ตอนที่เลนิน มีการประกาศแผนเศรษฐกิจ NEP (New Politic Policy) อนาสตาสให้การฉบับสนุนแผนนี้ ในขณะที่สตาลินเองคัดค้าน เพราะเห็นว่าคนชั้นกลางได้ประโยชน์ ทำให้ความสัมผัสระหว่างอนาสตาสและสตาลินไม่ค่อยจะดี 

1923 ได้เป็นคณะกรรมการกลางของพรรค

1924 หลังการเสียชีวิตของเลนิน เขาให้การสนับสนุนสตาลินขึ้นเป็นผู้นำ

1926 ในฐานะของคณะกรรมการกลาง ที่ดูแลเรื่องการค้าภายในและต่างประเทศ เขาสนับสนุนให้มีการสร้างอุตสาหกรรมอาหารกระป๋อง

1935 ได้รับเลือกให้เป็นโพลิตบุโร เขารับหน้าที่ในการพัฒนาความสัมพันธ์กับต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา เคยเดินทางไปอยู่ในสหรัฐนาน 3 เดือน เพื่อเรียนรู้อุตสาหกรรมอาหาร รถยนต์ เคยพบกับเฮนรี่ ฟอร์ต และหลังจากกลับมาโซเวียต ก็นำนำเอาวัฒธรรมอาหารอย่าง ไส้กรอก แฮมเบอร์เกอร์ การผลิตอาหารแช่แข็งด้วย ซึ่ง สตาลิน เคยกล่าวอย่างติดตลกเอาไว้ว่า “อตาสนาส มิโกยาน , ฉันเห็นความคลั่งไคล้ของท่านในการผลิตไอศครีมแล้ว ฉันรู้ว่าท่านเห็นไอศครีมสำคัญกว่าลัทธิคอมมิวนิสต์” ซึ่งจากความสำเร็จในด้านการสร้างอุตสาหกรรมอาหาร ทำให้เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็น ผู้ช่วยประธานสภารัฐมนตรี

1937-1938 เมื่อสตาลินมีนโยบายกำจัดศัตรูทางการเมือง (Great Purge) และทดสอบความจงรักภักดีต่อสตาลิน อนาสตาสถูกส่งให้ไปปฏิบัติการในบ้านเกิดที่อาร์เมเนีย มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายสิบนายถูกปลดออกจากตำแหน่งและไปทำงานในค่าย 

1939 ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมันและโซเวียตมีการทำสนธิสัญญา Molotov-Ribbentrop Pact ซึ่งเป็นข้อตกลงที่จะวางตัวเป็นกลาง ไม่เป็นปฏิปักษ์กัน ซึ่งคล้ายจะมีข้อตกลงลับในการแบ่งสรรเขตอิทธิพลระหว่างสองประเทศ นั้นทำให้โปแลนด์ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเยอรมันและโซเวียต โซเวียตมีการจับเจ้าหน้าที่โปแลนด์กว่า 26,000 คนไป และต่อมามีการสังหารเจ้าหน้าที่เหล่าในป่ากลายเป็นการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ Katyn massacre ซึ่งมีเอกสารหลายฉบับลงนามโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของโซเวียต ทั้งสตาลิน และอนาสตาส ให้มีการสังหารคนเหล่านั้น

1942   เป็นสมาชิกในกระทรวงกลาโหม  (State Defense Committee) ซึ่งเขามีหน้าที่ดูแลระบบกระจายสินค้า การส่งกำลังลำเลียงสนับสนุน ในพื้นที่ตะวันออกของประเทศ ซึ่งมีการย้ายประชากรจำนวนมากไปอาศัย รวมถึงโรงงานด้วย ในช่วงสงครามโลก

1943 ได้รับเหรียญรางวัล Hero of Socialist Labor แต่ว่าเวลานั้นลุกชายของเขา ชื่อ วลาดิมีร์ ถูกยิงตกในการรบที่สตาลินการ์ด ทำให้เขาไม่ดีใจนัก

1946 ได้รับตำแหน่งรองประธานสภารัฐมนตรี และเป็นรัฐมนตรีการค้าในเวลาเดียวกัน ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสตาลินเริ่มไม่ค่อยจะดีในช่วงนี้

1953 ว่ากันว่าสตาลินพยายามจะทำการกวาดล้างศัตรูทางการเมืองครั้งใหม่ ซึ่งมีอนาสตาสอยู่ในรายชื่อด้วย ทว่าสตาลินเสียชีวิตเสียก่อน หลังการเสียชีวิตของสตาลิน อนาสตาสให้การสนับสนุนครุสเชฟ ระหว่างที่มีการชิงอำนาจกันระหว่างครุสเชฟ และลาฟเรนตี เบเรีย (Lavernty Beria) เขาสนับสนุนการจับกุมและประหารเบเรียด้วย

1956 อนาสตาส และครุสเชฟ ร่วมมือกันในการประชุมพรรค ครั้งที่ 20 ในการกล่าวประณามสตาลิน หลังจากนั้นก็เริ่มกระบวนการ de-Stalizination  แต่ว่าในช่วงปลายปีนั้น ตุลาคม อนาสตาสเอง ไม่สนับสนุนการใช้กำลังกำจัดผู้ประท้วงในอังการี แต่ว่าไม่สำเร็จ ครุสเซฟไม่ยอมฟังเขา

1957 ไม่ความพยายามของจอร์จี มาเลนกอฟ (Georgy Malenkov) และ วยาเชฟสลาฟ โมโลตอฟ (Vyacheslav Molotov) ในการทำรัฐประหารยึดอำนาจจากครุสเชฟ แต่ว่าอนาสตาสไม่สนับสนุนพวกเขา

1959 เดินทางไปคิวบา เขาเป็นผู้นำระดับสูงคนแรกของโซเวียตที่พบกับคาสโตร ซึ่งเป็นผลให้มีการทำการค้ากับระหว่างสองประเทศ โดยรัสเซียนำเข้าน้ำตาลจากคิวบา และกับน้ำมัน , อนาสตาส ประทับใจในความสวยงามของคิวบามาก ถึงกับบอกว่าอยากจะมีชีวิตในวัยเด็กในประเทศนี้ นอกจากนั้นเขายังรับหน้าที่ในการเป็นสร้างความสัมผัสกับอีกหลายประเทศ เดินทางไปเยือนญี่ปุ่น เม็กซิโก สหรัฐ เพื่อพยายามลดความร้อนแรงของสงครามเย็นลง

1962 ตุลาคม ในเหตุการณ์วิกฤตมิสไซด์คิวบา เขาเดินทางไปยังคิวบา ซึ่งตัวเขาเองไม่เห็นด้วยในการติดอาวุธนิวเคลียร์ในคิวบามาตั้งแต่ต้น แต่ระหว่างนี้เองภรรยาของเขาอาชเฮน (Ashhen) ก็เสียชีวิต ซึ่งอนาสตาสไม่ได้กลับมาร่วมงานศพเพราะติดภาระกิจ

1963 เขาเป็นตัวแทนของโซเวียต ในการร่วมพิธีศพของ เคนนาดี ในเดือนพฤศจิกายน

1964 ได้รับแต่งแหน่งประธานของสุพรีมโซเวียต (Supreme Soviet) โดยครุสเชฟ เป็นผู้แต่งตั้งให้รับตำแหน่งแทนเบรสเนฟ (Leonid Brezhnev) แต่ว่าในเดือนตุลาคม เกิดการปฏิวัติโดยเบรสเนฟ และโคไซกิ้น (Alexei Kosygin) อนาสตาสเป็นคนหนึ่งที่ออกเสียงโหวตบังคับให้ครุสเซฟลาออกจากตำแหน่ง แต่ก็มีคนที่เชื่อว่าเขาทำเช่นนั้นเพื่อปกป้องครุสเชฟเอง เพราะความเสื่อมถอยในสุขภาพของครุสเซฟและกระแสนิยมที่ไปอยู่กับเบรสเนฟแล้ว ซึ่งในเวลาต่อมาในงานศพของครุสเชฟ 1971 อนาสตาส ก็นำมาลาไปวางไว้อาลัยด้วยตนเอง

1965 อนาสตาส ถูกบังคับให้ลาออกจากตำแหน่ง ในวันที่ 9 ธันวาคม โดยเบรสเนฟ มอบเหรียญ Order of Lenin ให้ปลอบใจขณะมีอายุ 70 ปี เขาใช้ชีวิตที่เหลือในการเขียนบันทึกความทรงจำทางการเมืองของเขา

1978 เสียชีวิตในวันที่ 21 ตุลาคม 1978 อายุ 82 ปี ด้วยโรคชรา และถูกเผาศพที่สุสาน Novodevichye cemetery ในมอสโคว์ โดยไม่ได้รับเกียรติให้เผาที่ข้างกำแพงเครมลินเหมือนนักการเมืองระดับสูงคนอื่น

แต่ว่าชีวิตของอนาสตาสมีแต่ความน่าสนใจ บางคนบอกว่าเขาเป็น “ผู้รอดตาย” จากการแก่งแยงอำนาจทางการเมืองในโซเวียตมาได้อย่างอัศจรรย์ เป็น “คนที่รู้จักเขาจะไม่มีวันเบื่อ อนาสตาส” , เป็น “คาเวียร์” อย่างที่อาร์ยอม เซอร์กีฟ ให้ฉายา , และมีตำนานเล่าถึงเขาว่า อนาสตาส สามารถเดินผ่านจตุรัสแดงในวันที่ฝนตกได้ โดยไม่ต้องใช้ร่ม แต่ว่าร่างกายของเขาจะไม่เปี๊ยกเพราะเม็ดฝนเลย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Don`t copy text!