นายกรัฐมนตรีอังกฤษเดวิท คาเมรอน บรรยายในมิวนิค 5 กุมภาพันธ์ แปลจากฉบับภาษาอังกฤษในเว็บไซด์ Number10.gov.uk
วันนี้ ผมต้องการที่จะโฟกัสปัญหาการก่อการร้าย ก่อนอื่น ขอชี้ปัญหาให้เห็นประเด็นบางคนวิจารณ์ว่ายุทธศาสตร์ป้องกันและความมั่นคงของอังกฤษ ทำให้ประเทศลดบทบาทตัวเองในเวทีโลกซึ่งผมจะขยายความให้ทราบความจริงแน่นอน , พวกเรากำลังประสบกับการขาดดุลงบประมาณ แต่ว่าเราจำเป็นต้องมั่นใจว่าระบบป้องกันประเทศของเราเข้มแข็ง
อังกฤษจะยังคงต้องใช้งบประมาณให้ตรงเป้า 2% เพื่อใช้จ่ายเรื่องความมั่นคง
เราให้งบประมาณกองทัพสูงเป็นอันดับสี่ของโลก ขณะเดียวกัน เราก็ใช้จ่ายมันให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเน้นไปที่การป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้ง อาคาร และการทำให้กองทัพทำงานได้อย่างยึดหยุ่น นี้ไม่ใช่การล่าถอย แต่เป็นการมุ่งมั่นไปข้างหน้า การตัดสินใจทำอะไรทุกครั้งต้องคิดแล้วคิดอีก
อย่างแรก เราสนับสนุนปฏิบัติการของนาโต้ในอัฟกานิสถาน
สอง เราส่งกำลังทหารเพิ่่มให้กับกองทัพ
ดังที่รัฐบาลแชนเชลเลอร์ เมอรเกิ้ล เคยกล่าวไว้ว่าสิ่งที่สำคัญไม่ใช่การสร้างหน่วยงานรัฐให้ใหญ่ขึ้น ซึ่ีงตรงข้ามมันควรจะเล็กลงได้อีก แต่สิ่งที่จำเป็นคือนโยบายที่ี่สามารถสร้างกองทัพมากที่เราต้องการ มีพันธมิตร และประเทศเคียงบ่าเคียงไหล่ เข้าไปในสนามรบ
และสาม ต้องมั่นใจได้ว่าอังกฤษจะสามารถปกป้องตัวเองจากภัยคุกคามใดๆ ได้
นั้นคือคำตอบว่าทำไม พวกเราต้องทุมเทในการพัฒนาระบบความปลอดภัยในไซเบอร์ และทุมเทให้กับการเตรียมความพร้อมในการรับสถานะการณ์ที่จะเกิดขึ้น
ภัยคุกคามที่สำคัญที่สุดของเรามาจากปัญหาการก่อการร้าย ซึ่งน่าเสียใจที่หลายกรณีเกิดจากฝีมือพลเมืองของเราเอง
มันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องบอกว่าการก่อการร้ายนั้นไม่ได้เชื่อมโยงเฉพาะกลุ่มศาสนาใดหรือว่าเชื้อชาติใดเฉพาะ อังกฤษยังต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากคนที่มีความเห็นแตกต่างพวกอาชญากรเหล่านั้นเพิ่งจะก่อเหตุในกรีซและอิตาลีไม่ต่างจาก ตอนที่พวกคุณในที่นี้เข้าไปในเยอรมันแล้วรู้สึกหวาดกลัวการก่อการร้ายโดยพวกกองทัพแดง
อย่างไรก็ตาม เราควรตระหนักว่า ภัยคุกคามเหล่านี้มาจากชายหนุ่มที่หลงไปกับการตีความที่ผิดของศาสนาอิสลาม คนเหล่านั้นสามารถที่จะระเบิดตัวเองและฆ่าเพื่อนร่วมชาติของเขาได้
อาทิตย์ที่แล้ว ที่ดาวอส ผมได้เตือนถึงความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจของยุโรป และวันนี้ หัวข้อมีความซับซ้อนกว่า ผมขอพูดถึงความมั่นคงซึ่งสำคัญอย่างที่สุด
พวกเราไม่อาจจะยอมแพ้ต่อการก่อการร้าย แม้ว่าการกระทำนั้นจะเกิดขึ้นนอกพรหมแดนของพวกเรายุโรป จะต้องตื่นขึ้น และมองดูเสียทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศของพวกเรา
แน่นอน ผลสุดท้ายแล้วสิ่งที่ต้องทำก็จะต้องเป็น การเฝ้าติดตามและหยุดคนเหล่านั้น การเฝ้าตามความเปลี่ยนแปลงและรวมรวมข้อมูล แต่นั้นเป็นคำตอบแค่ส่วนเดียว
พวกเราต้องเข้าใจถึงปัญหา
เราต้องเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ปัญหาการก่อการร้ายนี้มาจากที่ไหน — และการมีอยู่ของแนวคิด “อิสลามหัวรุนแรง (Islamist extremish)
เราจะต้องแยกให้ชัดเจนว่า สิ่งที่เรากำลังหมายถึงนี้ แยกออกจากอิสลาม
อิสลามเป็นศาสนา ,สันติ เป็นศาสนาของคนกว่าพันล้าน , แต่ "อิสลามหัวรุนแรง” เป็นค่านิยม แนวคิดทางการเมือง ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยคนส่วนน้อย
สิ้นคิดมากสำหรับคนเหล่านั้น ใครก็ตามที่สนับสนุนการก่อการร้าย เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดของพวกต้น : สร้างอาณาจักรที่มีแต่อิสลาม แล้วปกครองโดยการตีความศาสนาที่ผิดเพี้ยน
มองไปรอบ คุณจะเจอกับคนที่เขาปฏิเสธการใช้ความรุนแรง แต่ว่าหากว่าคุณเจอใครสักคนหนึ่งที่ยอมรับแม้เพียงบางส่วนของพวกหัวรุนแรงแล้ว เช่น คนที่ยอมรับว่าการใช้ความรุนแรงโจมตีตะวันตก โจมตีประชาธิปไตยและคุณค่าแห่งเสรี
มันสำคัญ ที่เราต้องแยกความแตกต่างของศาสนาออกจากแนวความคิดทางการเมือง
ครั้งแล้วครั้งเล่า เราแบ่งคนเป็นสองส่วน แล้วคิดว่าจะตัดสินว่าใครเป็นพวกหัวรุนแรงหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าคนนั้นบูชาศาสนาตัวเองมากเท่าไหร่
พวกนี้จะมองหามุสลิมที่ “ปานกลาง” เพราะคิดว่ามุสลิมทุกคนจะต้องหัวรุนแรง … พวกนี้คิดผิด
มีคนที่เป็นมุสลิมแล้วพวกเขาไม่ใช่พวกหัวรุนแรง
ดังนี้ต้องให้เข้าใจอีกครั้ง พวกอิสลามหัวรุนแรง และศาสนาอิสลาม ไม่ใช่ส่ิงเดียวกัน
จุดสำคัญของปัญหาคือ เมื่อมีการพูดถึงภัยการก่อการร้ายที่พวกเราเผชิญกันอยู่นั้น
ในด้านหนึ่ง เป็นเพราะพวกชาตินิยมมากเกินไป(hard right) ละเลยในการที่จะแยกความแตกต่างระหว่างศาสนาอิสลามกับกลุ่มหัวรุนแรงอิสลาม และชอบพูดว่า
อิสลามกับตะวันตก ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ และนี่เป็นการปะทะระหว่างวัฒนธรรม
พวกนี้จะแนะนำเราว่าให้แยกตัวเรา ตัดขาาดจากศาสนานี้ ไม่ว่าจะโดยการใช้วิธีการขับไล่โดยใช้พวกฟาสซิสต์หรือว่าห้ามการสร้างมัสยิดใหม่ในยุโรป
คนกลุ่มนี้จะยิ่งทำให้เกิดความกลัวอิสลาม (Islamaphobia) และผมขอปฏิเสธแนวความคิดนี้
ถ้ากลุ่มนี้ต้องการทดสอบว่าคุณค่าแห่งตะวันตกเป็นอย่างไรและอิสลามเป็นอย่างไรแข่งขันกันได้หรือป่าว ก้อควรจะหันไปมอว่าเกิดอะไรขึ้นในอาทิตย์ที่ผ่านมาบนท้องถนนของตูนิเซียและไคโร
คนหลายหมื่นคนออกมาเรียกต้องสิทธิสากลในการเลือกตั้งและประชาธิปไตย
ผมกำลังชี้ให้เห็นว่า แนวความคิดของพวกสุดโต่งนั้นเป็นปัญหา และชัดเจนว่าไม่ใช่เพราะศาสนาอิสลาม
การลุกขึ้นนี้ไม่ใช่เพื่อเผชิญหน้ากับค่านิยมเก่า
แต่เป็นการ ลุกขึ้นของคนซ้ายนิดๆที่ถูกละเลย
พวกเขาทำให้ชาวมุสลิมมารวมตัวกัน เขียนข้อเรียกต้องและบอกว่าถ้ารัฐบาลสามารถทำให้ได้ดังนั้น การก่อการร้ายก็จะหยุดลง
พวกเขาจะบอกว่ามีปัญหาความยากจนในหมู่คนมุสลิม แล้วร้องบอกว่า ขจัดความไม่ยุติธรรมนี้เสียสิแล้วการก่อการร้ายจะหยุดลงเอง
แต่พวกเขาลืมความจริงที่ว่า หลายครั้งที่การก่อการร้ายในอังกฤษเกิดจากกลุ่มคนที่มีการศึกษาและชนชั้นกลาง
พวกเขาบอกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะนโยบายต่างประเทศของตะวันตก แล้วบอกว่าหยุดกดขี่ประเทศมุสลิมสิแล้วการก่อการร้ายจะหยุดเอง
แต่ว่าในประเทศเหล่านั้นมีคนมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมที่โกรธแค้นนโยบายต่างประเทศของตะวันตก แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนการก่อการร้าย
พวกเขายังชี้ว่าความฟุ่มเฟือยของผู้นำในตะวันออกกลางที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งคือสาเหตุ แล้วก็บอกว่าเอาพวกนี้ออกไปให้หน่อยสิ แล้วการก่อการร้ายก็จะหายไป
แต่นี่ยิ่งทำให้เกิดคำถามว่า ถ้าการขาดประชาธิปไตยคือต้นเหตุของปัญหา แต่ทำไมถึงมีพวกหัวรุนแรงในดินแดนที่เสรีและสังคมที่เปิดกว้่างหล่ะ
ผมเองไม่ได้บอกว่าส่ิงที่พวกเขาพูดถึงไม่ได้สำคัญ
ใช่ เราต้องกำจัดปัญหาความยากจน
ใช่ เราต้องขจัดประเด็นที่สร้างความขัดแย้ง ไม่เฉพาะปัญหาของชาวปาเลสไตน์
และใช่อีก พวกเราต้องการเห็นสังคมที่เปิดกว้างและการปรับเปลี่ยนระบบการเมืองในตะวันออกกลาง
ในอียิปต์ จุดยืนของเราชัดเจน เราต้องการให้มีการถ่ายโอนอำนาจให้กับรัฐบาลที่คนส่วนใหญ่ของรับ และมีการสร้างสังคมประชาธิปไตย สังคมเสรีภาพ
และผมยอมรับไม่ได้ถ้าจะเกิดความรุนแรงจนทำให้เกิดผู้เสียชีวิตระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและผู้ต่อต้านชาวอิสลาม
แต่อย่าหลอกตัวเอง นี่เป็นแค่เหตุปัจจัยหนื่งเท่านั้น แม้ว่าเราแก้ปัญญาเหล่านี้ได้ การก่อการร้ายก็ยังคงมีอยู่
รากเหง้าและการมีอยู่ของพวกนิยมความรุนแรงสุดโต่ง
และผมสามารถอ้างได้ว่าบทเรียนที่สำคัญที่ทำให้คนหนุ่มมุสลิมจำนวนมากหลงผิด ต้องตั้งคำถามเพื่อให้จำเพาะลงไป
ผมกำลังจะพูดถึงประสบการณ์ของอังกฤษเอง แต่ผมคิดว่ามันเป็นบทเรียนทั่วไปสำหรับพวกเราทุกคนได้
ในสหราชอาณาจักร ชายหนุ่มรู้สึกว่ามันยากที่จะเข้าถึงอัตลักษณ์ วัฒนธรรมแบบอิสลามจารีตโดยแค่ฟังคำสอนจากพ่อแม่ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วผู้ปกครองในอังกฤษก็ผสมผสานไปกับวัฒนธรรมสมัยใหม่ของชาติตะวันตก
แม้กระทั้งในอังกฤษด้วย พวกเขาก็ยังรู้สึกว่ามันยากอยู่ เป็นเพราะพวกเราปล่อยให้อัตลักษณ์ความผสมผสานของพวกเราอ่อนแอลง
ภายใต้ความเชื่อของรัฐหลายวัฒธรรม พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับวัฒนธรรมที่หลากหลาย แต่ดำรงอยู่แบบตัวใครตัวมัน แยกตัวมันเองออกจากวัฒนธรรมอื่นและวัฒนธรรมกระแสหลัก
พวกเรากำลังล้มเหลวที่จะสร้างสรรค์สังคมที่พวกเขาต้องการ และอยากจะอยู่ร่วมด้วย
พวกเราจำตอนทนกับสังคมที่ชุมชนต่างๆแยกออกจากกัน ทางใครทางมัน นั้นทำให้คุณค่าาของพวกเราลดลงเช่น เมื่อคนขาวมีทัศนคติ อย่างหนึ่ง เช่น การเหยียดชนชาติ อย่างนี้เราก็ควรจะประนามเขาแต่เมื่อมีทัศนคดิอย่างเดียวกัน พฤติกรรมอย่างเดียวกัน มาจากคนที่ไม่ใช่คนขาว เรากลับต้องระมัดระวังตัว และหวาดกลัวที่จะลุกขึ้นบอกว่ามันไม่ดีนะ
ความล้มเหลวคล้ายกลับการเผชิญหน้ากับความกลัว เหมือนการถูกบังคับให้แต่งงานที่หญิงสาวถูกบังคับให้แต่งงานกับใครสักคนที่ในต่างประเทศโดยที่เธอเองไม่ต้องการ นี้คือประเด็น
จะปัดควาน่ากลัวเหล่านี้ออกไป ทางเดียวคือต้องสร้างความคิดที่ว่าการแบ่งปันกันอย่างเดียวไม่พอ
และนี้ทำให้เยาชนมุสลิมบางคนรู้สึกขาดที่พักพิง
แล้วไปมองหาบางสิ่งบางอย่างที่จะพึงพิง ศรัทธา เชื่อว่าจะนำเขาได้และนั้นทำให้พวกเขากลายเป็นผู้มีความเชื่อแบบสุดขั่ว
แน่อน พวกเขาไม่อาจจะกลายเป็นผู้ก่อการร้ายในค่ำคืน
แต่มันเป็นขั้นตอนนำไปสู่ความนิยมความรุนแรง
การชัทพูดคุยกันบนอินเตอร์เน็ต สถานที่พบปะกันเสมือนแล้วมีการแลกเปลี่ยนความเห็นกันนั้น ยิ่งบ่มเพาะความคิดเหล่านี้ให้รุนแรงและถูกต้อง
ในบางมัสยิด จะมีผู้นำบางคนที่คอยบอกเล่าความเกลียดชั่ง คอยหว่านความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับชะตากรรมของมุสลิมที่ไหนก็ตาม
ในสังคมของเรา กลุ่มหรือองค์กรที่นำโดยเยาวชน มีกลุ่มคนที่กำลังเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดการแบ่งแยก ยุยงชาวมุสลิม โดยอ้างความเป็นศาสนาเดียวกัน
การกระทำเหล่านี้เป็นอันตรายต่อการการอยู่รวมกัน มันเข้าไปแทนทีอะไรก็ตามที่หายไปในสังคมกว้างใหญ่
คุณอาจจะบอกว่า จนกระทั้งมันไม่ได้ทำอันตรายใคร แล้วมันจะเป็นปัญหาอย่างไร
ผมจะบอกคุณว่าทำไม
ประจักษ์พยานเกิดขึ้นจากเบื้องหลังของการต่อสู้กับการก่อการร้าย มันชัดเจนว่าหลายคนนั้นถูกชักนำโดยใครสักคนที่มีอิทธิพลเหนือกว่า นำโดยคนว่ากลุ่มที่เรียกว่า “พวกสันติอหิงสาสุดโต่ง (none violent extremists) และคนเหล่านั้นก็เอาความคิดที่แผงความรุนแรงพัฒนาไปในขั้นที่สูงกว่าคือการใช้ความรุนแรง
สิ่งที่ผมบอกมันสะท้อนวิธีการของเราในการรับมือในอดีต
ถ้าพวกเราทุกคนยอมแพ้แก่ภัยคุกคามนี้ ผมเชื่อว่าตอนนั้นประวัติศาสตร์จะบันทึกว่านโยบายที่ผ่านมาของเราทั้งหมดล้มเหลว
อย่างแรก , อย่ามองข้ามลัทธิความเชื่อแบบสุดโต่ง พวกเราทั้งรัฐบาลและคนในสังคม ต้องเผชิญหน้ากับมัน ในทุกรูปแบบ
อย่างที่สอง แทนที่จะส่งเสริมให้ประชาชนต่างคนต่างอยู่ เราควรส่งเสริมให้ประชาชนรู้จักอัตลักษณ์ของชาติ และเปิดใจกว้างสำหรับทุกคน
ขอผมพูดต่อไปว่า
อย่างแรก ต้องร่วมกันสู้ในการทำลายแนวทัศนคติผิดๆ เหล่านั้น
ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะสร้างความรุนแรงขึ้นมาแล้วหรือไม่ พวกเราต้องทำให้หนทางของพวกหัวรุนแรงปิดลงสู่ความสำเร็จ
สำหรับรัฐบาล มีหนทางพอสมควรที่เราสามารถทำได้
เราจะต้องแบนครูสอนศาสนาที่เน้นความเกลียดชั่ง ห้ามไม่ให้เข้ามายังประเทศของเรา
รัฐบาลจะพยายามกำจัดองค์กรที่สนับสนนการก่อการร้าย ไม่ว่าพวกนั้นจะสอนให้ต่อต้านคนในชาติหรือคนต่างชาติ
รัฐบาลจะต้องสามารถพร้อมรับมือกับปัญหาเหล่าได้ทุกเมื่อ โดยไม่ใช้ความรุนแรง
เราจะคิดมากขึ้น ว่าใครกันที่จะเป็นเหยี่อ และผลประโยชน์ให้กับคนพวกนั้น
องค์กรบางเห็นชอบแสดงตัวเองว่าเป็นประตูไปสู่ประชาคมอิสลาม เพื่อจะคอยดูดเงินสาธารณะ แต่กลับทำงานน้อยเต็มที่เพื่อต่อสู้กับพวกสุโต่ง
ข้อสังเกตุอีกอย่างหนี้ง มันอาจจะคล้ายคลึงกับฟาสซิสต์ในการต่อสู้กับขบวนการเคลื่อนไหวต้านคนขาว
โดยตั้งคำถาม ในเพื่อแยกแยะองค์กรต่างๆ ถามเขาสิว่า
พวกเขาเชื่อในความสิทธิมนุษยชน รวมถึงสิทธิของสตรีและคนที่ไม่ได้มีความเชื่อเช่นเดียวกับเขา
พวกเขาเชื่อในความเท่าเทียมกันก่อนจะมีกฏหมายหรือไม่
พวกเขาเชื่อในประชาธิปไตยหรือไม่ แล้วเชื่อในสิทธิของประชาชนในการเลือกรัฐบาลของตัวเองหรือไม่
พวกเขาส่งเสริมให้อยู่ร่วมกันหรือว่าแบ่งแยกจากกัน
นี้เป็นตัวอย่างคำถามที่เราควรต้องนำมาใช้
ถ้าองค์กรใดก็ตามไม่ผ่านเรื่องเหล่านี้ เราควรหลีเลี่ยงที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม
หยุดให้เงิน หยุดเอารูปแบบพวกนั้นมาเผยแพร่ที่บ้าน
และในเวลาเดียวกัน เราจะต้องหยุดกลุ่มพวกนี้ไม่ให้เข้าถึงเงินสาธารณะจากสถาบัน อย่างมหาวิทยาลัยหรือคุก
บางคนพูดว่า นี้จะเป็นการไม่สอดรับกับสิทธิในการพูดหรือป่าว การกลั่นกรองสติปัญญาถูกกีดกันหรือป่าว
ผมจะตอบว่า แล้วพวกคุณต้องการที่จะมีทัศนะคติเดียวกันกับพวกขวาจัดที่อยู่ในมหาวิทยาลัยหรือป่าวหล่ะ
คุณจะสนับสนุนให้มีการเพิกเฉยหรือถ้าเกิดมีชาวคริสต์บางคนเชื่อว่ามุสลิมเป็นศัตรู ซึ่งกำลังชี้นำคนไปโบสถ์ไปสู่คุก
แล้วถ้ามีคนพูดว่า พวกสันติอหิงสาสุดโต่งนั้นกำลังช่วยหนุ่มสาว สร้างคุณค่าพวกเขาให้ถอยจากความรุนแรง … ผมจะบอกว่า ไร้สาระ
คุณจะปล่อยให้พวกกลุ่มขวาจัดร่วมแชร์เงินภาษีหรือถ้าพวกเขาสัญญาว่าจะหลอกชายหนุ่มผิวชาวให้ถอยหนีจากพวกฟาสซิสต์ก่อการร้าย ?
แต่ ที่สาเหตุแล้ว การท้าท้ายกับค่านิยมเหล่านี้ หมายความว่าเราจะต้องแฉตัวตนของพวกมันก่อนว่าเป็นอย่างไร แย่อย่างไร
เราจะต้องบอกว่าการก่อการร้ายเป็นสิ่งที่ผิด ไม่ว่าจะอ้างด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม
เราจะต้องบอกว่าผู้แสวงบุญด้วยการสร้างสงครามศาสนา นำชาวมุสลิมต่อต้านประชาคมโลกที่เหลือ เป็นผู้ร้าย
รัฐบาลไม่สามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ได้เพียงลำพัง
กลุ่มหัวรุนแรงที่พวกเรากำลังต่อสู้ด้วยนั้น การบิดเบือนเหล่านี้เกิดในศาสนาอิสลาม และเราต้องการความช่วยเหลือจากคนอิสลาม
ดังนั้น โปรดส่งเสียงบอกให้ชาวอิสลามในประเทศของพวกคุณ ซึ่งจำนวนมากยังไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องจากคนส่วนใหญ่ ว่าต่อต้านพวกนิยมความรุนแรงและโลกทัศน์ของเขา
ช่วยกันส่งเสริมกลุ่มคนที่กำลังช่วยเรานำแรงบันดาลใจนี้ไปสู่คนอื่น
อย่างที่สอง , เราต้องช่วยกันส่งเสริมสังคมให้เข้มแข็ง สร้างค่านิยมในบ้านเมืองของเรา
ตรงไปตรงมา เราต้องได้รับการสนับสนุนจากคนที่เคยตกเป็นเหยื่อตลอดหลายปีที่ผ่านมา ให้ลุกขึ้น เรียกร้องเสรีภาพ
กลุ่มคนที่ถูกกดขึ่่จะต้องบอกกับสมาชิกของพวกเขาว่า ถ้าพวกคุณยังก้มหัวให้กับกฏบ้าๆ เราจะทิ้งพวกคุณไว้
การอยู่ร่วมกันของคุณค่าที่แตกต่างกัน ประเทศที่มีเสรีภาพเท่านั้นที่ให้ได้มากกว่า
เชื่อมันในค่านิยมและส่งเสริมมันจริงๆ เสีย
สรีภาพในการพูด เสรีภาพในการนับถือศาสนา ประชาธิปไตย และการเคารพกฏหมาย เหล่านี้เป็นสิทธิที่เท่าเทีียมกันของมนุษย์ทุกสายพันธ์ ชาติ และเพศ
บอกกับพวกคุณเองว่า นี้แหละคือนิยามที่แท้จริงของประชาสังคม
ถ้าจะอยู่ในสังคมร่วมกัน ก็ต้องเชื่อมั่นในหลักการณ์เหล่านี้
พวกเราแต่ละคน ในแต่ละประเทศของพวกท่าน จะต้องชัดเจนในการปกป้องเสรีภาพของพวกเรา
แบบปฏิบัตพื้นฐานที่เราสามารถทำได้
นั้นรวมถึง การทำให้ผู้อพยพทั้งหลายสามารถพูดภาษาของบ้านใหม่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ได้
ต้องทำให้พวกเขามีการศึกษา รู้และเข้าถึงวัฒนธรรมและเงื่อนไขของสังคมใหม่ที่ไปอยู่
กลับมาที่อังกฤษ เรากำลังจะจัดให้มีบริการสำหรับประชาชน จัดโปรแกรมให้เด็ก 16 ปีที่มีภูมิหลังที่แตกต่างกันมาอยู่ร่วมกันเป็นระยะเวลา 2 เดือน
ผมเชื่อว่านี้จะช่วยส่งเสริมนิยามและการสอดประสานในสังคม โดยการเปลี่ยนสมดุลอำนาจ จากรัฐไปสู่ประชาชน
นั้นเป็นงานง่ายๆ ที่สามารถทำให้เกิดได้ โดยให้ประชาชนมาอยู่ร่วมกันทำงานด้วยกันเสมือนเป็นเพื่อนบ้านกัน
มันจะช่วยสร้างให้อัตลักษณ์ของท้องถิ่นสูงขึ้นด้วย และนั้นทำให้คนสบายใจที่จะบอกว่า ฉันคือมุสลิม ฉันคือฮินดู ฉันคือคริสเตียน หรือป่าวป่าว ฉันเป็นลอนดอน ฉันเป็นเบอร์ลิน
อัตลักษณ์ นั้นคือความรู้สึกว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งของประเทศของคุณ นั้นคือกุญแจสำคัญในความสำเร็จ
ผมขอปิดท้ายด้วยการกล่าวว่า การก่อการร้ายจะหมดไปต้องได้รับแรงผลักดันจากพวกเราทุกคน
อย่าละเลยปัญหานี้หรือเพิกเฉย
พวกเราต้องต่อสู้กับมั่นด้วยความมั่นใจ
เผชิญหน้ากับลัทธิแนวคิดทีวิปริตที่กำลังชักจูงจิตใจเยาวชนให้หลงผิด
เผชิญหน้ากับมัน ด้วยการเปิดใจกว้างและทัศนคติที่ว่าเป็นประชากรของประเทศ
หลายสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หนทางที่ง่ายดาย ต้องแข็งแกร่งง อดทนและพยายาม และมันจะไม่เกิดขึ้นได้้ถ้าเราทำมันลำพัง
กระจายความรู้สึกนี้ไปให้ทั่ว พวกเราทุกคนทำมันร่วมกัน
มันต้องช่วยกัน ไม่มันใช่แค่ดำรงค์อยู่ แต่มันคือวีถีแห่งชีวิต
ความท้่าทายนี้เราต่างมิอาจหลีเลี่ยง และเราต้องเผชิญกันมัน